Tuesday, March 13, 2007

ลังไม้ ก็คือ ลังไม้

The Crate
2007-03-13


The Crate ลังไม้ที่ออกแบบโดย Jasper Morrison ที่ด้านข้างลัง พิมพ์ลายเซ็นของเขาไว้อย่างชัดเจน


"the Crate" ก็คือ ลังไม้
แต่ลังไม้ที่ผมกำลังจะพูดถึงนั้น
มันไม่ใช่ลังไม้ธรรมดา ก็เพราะว่า มันเป็นลังไม้ของ Jasper Morrison
เมื่อ Jasper Morrison ถูกทาบทามให้ออกแบบโต๊ะหัวเตียง
เขากลับไปดูหัวเตียงที่บ้านปรากฎว่าที่บ้านของเขาใช้ลังไม้เนี่ยแหละ
ในการเก็บของต่างๆ-อาทิเช่น หนังสือ หรือข้าวของจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ
ผลงานออกแบบของเขาก็คือลังไม้แบบที่เขาใช้-เหมือนที่บ้าน!
เขาปรับปรุงคุณภาพไม้ที่นำมาใช้ทำเป็นลังนิดหน่อย
แต่โครงสร้างของลังและวิธีการต่อยังเป็นเหมือนเดิมเปี๊ยบ ^_^
เสร็จแล้วผลงานที่เขาออกแบบก็ส่งไปแสดงตามงานแฟร์เก๋ๆ--ที่หนังสืออินเทรนด์ทั้งหลายต้องตามไปถ่ายรูป แสดงวิสัยทัศน์ในความล้ำสมัยของตัวเอง
แน่นอน ลังไม้ ของ Jasper Morrison วินาทีนี้ไม่ใช่ลังไม้อีกต่อไป
งานออกแบบของ Jasper Morrison กลายเป็นจุดที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดในงานภายในทันที
นิตยสารหลายเล่มต่างอยากสัมภาษณ์เขาถึงแรงบันดาลใจ
แรงบันดาลใจเขาไม่ได้เลิศหรู-หรือดูยุ่งยาก
เหมือนเวลา เฉลิมชัย (ศิลปินชาวไทย) พูดถึงรูปที่ตัวเองวาด :P
เขาไม่มีฟอร์มแถมสารภาพอย่างหมดเปลือก
ที่ผมออกแบบแบบนี้ก็เพราะที่บ้านผมใช้แบบนี้
แล้วก็คิดว่าลังแบบนี้มันก็ใส่ของได้ดี
เรื่องมันคงจะจบแบบเรียบๆ ถ้า Jasper Morrison ไม่ใช่นักออกแบบที่มีชื่อเสียง
และลังไม้ของเขาขายเพียงใบละไม่กี่สตางค์-ห้าหกร้อยบาท
แต่เรื่องมันเริ่มสนุกเพราะลังที่ออกแบบโดย Jasper Morrison ใบนี้
ขายใบละเกือบ แปดพันบาท!-คิดเป็นเงินไทยให้แล้ว แต่ถ้าอิมพอร์ทแล้วเอามาขายที่ PlayGround ที่ซอยทองหล่อคิดว่าลังใบนี้ราคาไม่น่าจะต่ำกว่าหลักหมื่นนะเชื่อได้เลย :P

หลายคนคิด-มอร์ริสันกำลังต้มหมู โอ้งานออกแบบแบบนี้ก็หลอกได้เฉพาะแต่คนบ้าแบรนด์ แล้วก็พวกเห่อดีไซน์เนอร์ล่ะวะ

อีกหลายคนเช่นกันที่คิดว่า-โอ้นี่มันช่างเป็นงานดีไซน์ที่ Anti-Design ที่แสนลุ่มลึก-เป็น Critical ในวงการออกแบบที่แสนคมคาย

สำหรับผม ถ้าใช้ภาษาแบบวงการกีฬาก็จะบอกว่า มอร์ริสัน เสริฟ ลังไม้ใบนี้ของเขาตกลงไปที่จุดเกรงใจพอดี เหมือนกำลังดูดีไซน์เนอร์ในวงการออกแบบกำลังเดินสวนสนาม แล้วมอร์ริสัน ก็ดันแกล้ง ก้าวเท้าผิดจังหวะ ทำให้เราเห็นร่องรอยและโครงสร้างโดยรวมทั้งหมดของวงการออกแบบ
ไม่ว่าคุณจะรังเกียจหรือชื่นชม ลังไม้ใบนี้แค่ไหน
มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับคุณเท่าไหร่

ตราบใดก็ตามที่คุณยังไม่ได้ตัดสินใจควักเงินในกระเป๋าสตางค์เพื่อซื้อมัน

ถ้าคุณซื้อมัน

คุณจะตัดสินใจซื้อลังใบนี้ที่แพงหูฉี่ด้วยวิธีคิดแบบไหน :P
คุ้มราคา-เพราะนี่มันเป็นลังของดีไซน์เนอร์เชียวนะ (เป็นเรื่องปรกติ ภาษาทางการตลาดเขาเรียกว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าด้วยการออกแบบ เฮอๆ :P)

หรืออาจจะคิดว่า

ขอโทษนะผมไม่ได้ซื้อลัง ที่ผมเสียเงินให้นะ ผมเสียเงินให้กับวิธีคิดที่สวยงาม ผมกำลังเสพคอนเซ็บว่าด้วยการ Anti-Design ของมอร์ริสันอยู่ อู้ย แค่นี้ก็คุ้มแล้ว (อ้าวลังไม้กลายเป็นงานศิลปะ ไปเสียแล้วทีนี้)

สำหรับผมแล้ว ถ้าลังไม้(ของดีไซน์เนอร์ชื่อดัง)ใบนี้มันแพงนักหนา
จนเรา(ผู้บริโภคทั้งหลาย)ตระหนักและย้อนนึกกลับไปได้ว่าไอ้ลังธรรมดาๆ แบบนี้เราก็ทำใช้เอง หรือหาซื้อที่ไหนก็ได้
ทำไมเราไม่กลับไปบ้านแล้วหาซื้อไม้มาทำลังใช้เอง หรือไปเดินหาซื้อตามท้องตลาดให้มันรู้แล้วรู้รอดซะเลย
(มอร์ริสันอาจจะอยากให้เราคิดอะไรแบบนี้อยู่ก็ได้นะ ^_^)

เอาน่าไม่มีอะไรหรอก
เรื่องทั้งหมดที่เล่ามาก็แค่เรื่องที่เกี่ยวกับลังไม้ใบหนึ่ง
นอกเหนืออื่นใดแล้ว
สำหรับผม
ลังไม้ก็คือลังไม้--มันไม่มีทางเป็นอย่างอื่น :P
และหน้าที่ของนักออกแบบก็คือ
ถ้าต้องทำลังไม้ก็ต้องทำลังไม้ที่ดี

นักออกแบบอาจจะมีหน้าที่แค่นั้นจริงๆ ^_^


+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+
Books bought:
-hesheit เล่ม 9--วิศุุทธิ์ พรนิมิตร
-hesheit เล่ม 10--วิศุุทธิ์ พรนิมิตร

Books read:
-hesheit เล่ม 9--วิศุุทธิ์ พรนิมิตร
-hesheit เล่ม 10--วิศุุทธิ์ พรนิมิตร

3 comments:

Anonymous said...

เคยมีงานเลี้ยงแห่งหนึ่งที่เจ้าของงาน สั่งไวน์ ดอมปริยอง ขวดละหลายหมื่นบาท มาเทใส่ขวดไวน์ราคาถูกในประเทศ ผลปรากฏว่างานเลี้ยงเลิก ไวน์เหลือเพียบไม่มีใครดื่ม เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเราส่วนใหญ่เสพภาพลักษณ์มากกว่าประโยชน์ของมันจริง

Anonymous said...

^
^ ทำไมเราไม่ได้อยู่ในงานข้างบนหว่า

อ่านเสร็จแล้วก็อยากไปซื้อลังไม้ มาทำชั้นหนังสือ
แล้วแกล้งๆ มองให้เป็นงานของดีไซเนอร์

the aesthetics of loneliness said...

ขี้ของศิลปินก็เป็นศิลปะได้

พี่เคยสงสัยว่าถ้านักเขียนนามอุโฆษสักคน เขียนเรื่องสั้นเรื่องใหม่ของเขา ว่า NANANANANANANANANANANAN... NANANANANANANANANA ยาวรวมกันสัก 20-30 หน้า ลงตีพิมพ์อยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้นสักเล่ม คนอ่านจะตีความมันว่าอย่างไร ?