Thursday, November 30, 2006

2006-11-30

Book bought:
-
Books read:
-Philosophical Events: Essays of the '80--John Rajchman
-GM Magazine vol.340--พศจิกายน 2549
-ธรรมมะสบายใจ--ว.วชิรเมธี

Wednesday, November 29, 2006

2006-11-29

Book bought:
-
Book read:
-Philosophical Events: Essays of the '80--John Rajchman

Tuesday, November 28, 2006

2006-11-28

Book bought:
-
Book read:
-Philosophical Events: Essays of the '80--John Rajchman

Monday, November 27, 2006

2006-11-27

Book bought:
-
Book read:
-Philosophical Events: Essays of the '80--John Rajchman

Sunday, November 26, 2006

2006-11-26

Book bought:
-
Book read:
-Philosophical Events: Essays of the '80--John Rajchman

Saturday, November 25, 2006

2006-11-25


KM3 Excursions on Capacities
MVRDV
ISBN : 84-95951-85-1

Three-dimensionality can be seen as architecture's fundamental existence, the profession's acclaimed domain. In times of globalism and scale enlargement, an update of this definition seems needed: metres turn into kilometres, “M3” becomes “KM3”. KM3 is a story about a world that is getting dense. Very dense. It constructs its logical response: a city that is denser. A city that is continuously under construction, with space for limitless capacities, populations and possibilities. Beyond scarcity. Beyond separation. Beyond pessimism and protectionism. The 3D City. A free-fall in endless space. From right to left, from front to back, from above to below. Pure depth. Without escape. Yet. KM3 is more a construct than an analysis. KM3 is a hypothesis. A theoretical city. And a possible urban theory. KM3 can also be seen as a science-fiction novel, a twin pair that describes this upcoming city as an emerging presence, an already existing 'other' world within known reality. Included with the book is a DVD of animations and two urban planning software programs designed by MVRDV.


+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-KM3 Excursions on Capacities--MVRDV

Books read:
-Philosophical Events: Essays of the '80--John Rajchman
-Art4d Magazine--October 2006

Friday, November 24, 2006

2006-11-24

Book bought:
-
Books read:
-Philosophical Events: Essays of the '80--John Rajchman
-Art4d Magazine--October 2006

Thursday, November 23, 2006

2006-11-23

Book bought:
-
Books read:
-Philosophical Events: Essays of the '80--John Rajchman
-Art4d Magazine--October 2006

Wednesday, November 22, 2006

2006-11-22

Book bought:
-
Book read:
-Philosophical Events: Essays of the '80--John Rajchman

Tuesday, November 21, 2006

2006-11-21

Book bought:
-
Book read:
-Philosophical Events: Essays of the '80--John Rajchman

Monday, November 20, 2006

เรื่องของเชนกับนวลจัน

2006-11-20


Shane: I gotta be goin' on.
Joey: Why, Shane?
Shane: A man has to be what he is, Joey. You can't break the mold. I tried it and it didn't work for me.









เชนขี่ม้าลงมาจากหุบเขาในเขตรัฐไวโอมิ่งในบรรยากาศที่ดูสดใส กวางน้อยที่กำลังดื่มน้ำหันไปมองเชนอย่างไม่มีอาการตื่นกลัว ทุกอย่างช่างดูปรกติ สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดูสงบและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติของเชน บุรุษผู้มาจากแดนไกลซึ่งกำลังเดินทางเข้ามาในเขตชนบทของชาวไร่ชาวนา

นวลจันเดินอยู่บนทางที่แสนกันดารและร้อนระอุในชนบท สองข้างทางเป็นหญ้าขึ้นรก บรรยากาศวังเวง เธอเดินด้วยความมุ่งมั่น เหมือนคนกำลังวิ่งหนีความทุกข์(ความสุขของเธอกำลังรอเธออยู่ข้างหน้า) อย่างร้อนรน และเร่งรีบ เธอกำลังเดินเข้าไปในเมือง

ระหว่างทางเชนพบกับเด็กผู้ชายที่มีชื่อว่าโจอี้ ซึ่งแอบมองเชนตั้งแต่ตอนขี่ม้าลงมาจากหุบเขา แน่นอนมีอะไรบางอย่างบอกว่าเชนไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา เขาคือผู้ชายที่จะมาช่วยเหลือชาวไร่ชาวนาที่รักสงบ ที่อยู่กินอย่างพอเพียง จากน้ำมือของไรเกอร์และพรรคพวก ที่ต้องการขับไล่ชาวบ้านออกไปจากพื้นที่เพื่อใช้ที่ดินเหล่านี้เลี้ยงฝูงวัวจำนวนมหาศาล ดังนั้นการเข้ามาของเชนก็คือการเข้ามาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และปกป้องผืนดิน(earth--พระแม่ธรณี--ตัวแทนเพศหญิง) จากผู้ที่จะมาแผ้วถางทำร้าย ทั้งหมดทั้งปวงก็เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ทันทีที่เชนขี่ม้าเข้ามา--ทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิม เรื่องดีๆ กำลังจะเกิดขึ้น

ขณะที่นวลจันเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น เธอได้พบกับนางช้อย(ต่างฝ่ายก็ต่างตกใจเมื่อได้เห็นหน้ากันและกัน) จากนั้นนางช้อยก็พานวลจันเข้าไปหาแม่บ้าน ซึ่งบรรยากาศภายในบ้านหลังนั้นก็ดูทะมึนขึ้นเรื่อยๆ นวลจันเล่าให้แม่บ้านฟังว่า เธอกำลังท้อง เดินทางมาจากบ้านนอกก็เพื่อจะมาหาผัว(นายชอบ)ซึ่งหายไป(เธอมาด้วยเรื่องส่วนตัวล้วนๆ และก็ไม่ได้ต่อสู้เพื่ออะไรที่ดูยิ่งใหญ่) เธอขอรบกวนพักที่บ้านนี้ซักคืน แม่บ้านหันมาตวาดนางช้อยว่า กำลังนำความซวยเข้ามาในบ้าน แต่แม่บ้านก็ยังให้นวลจันนอนที่นี่ได้พร้อมกับกำชับว่าห้ามเข้าไปยุ่งในเรือนหลังใหญ่(ของคุณนายรัญจวน)--ทันทีที่นวลจันได้เข้ามาพักในบ้านหลังนั้น--ทุกอย่างในบ้านจะไม่มีวันเหมือนเดิม เรื่องร้ายๆ กำลังจะเกิดขึ้น

ในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและการปกป้องผืนดิน(ของชาวไร่) เชนต้องพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ นานา(ซึ่งเชนก็ไม่ได้ผ่านมันไปได้แบบหมูๆ) ไม่ว่าจะเป็นการทำดี(ตัดตอไม้ที่เกะกะขวางทาง)จนชนะใจโจ สตาร์เล็ต(พ่อของโจอี้) หรือการทำตัวคูลๆ นิ่งเฉยไม่ตอบโต้คริสลูกน้องของไรเกอร์จนชาวบ้านหมดศรัทธา จนถึงตอนการประทะกันตอนท้ายเรื่องกับไรเกอร์

บนเส้นทางในการเดินทาง--ตามหาผัว(นายชอบ) ของนวลจัน ก็ไม่ได้หมู ไหนจะยายเอิบ ไหนจะผีลูกยายเอิบ ไหนจะผีคุณนายรัญจวน ไหนจะนางช้อย ไหนจะผีแม่บ้าน ไหนจะต้องคลอดลูก ไหนจะต้องมารู้ความจริงว่าผัวของตัวเอง(ที่รักเป็นนักหนา) นั้นมีเมียอยู่ก่อนแล้ว มิหนำซ้ำเมียแกไม่ใช่ใครที่ไหน ที่แท้ก็...คนนั้นนั่นเอง และสุดท้ายนวลจันก็ต้องมาพบกับความจริงที่ทำให้เธอต้องทุกข์อย่างสาหัสก็คือ...นั่นเอง


สำหรับสังคมชาวไร่ เชนก็เปรียบเสมือนคนนอก (Outsider) เป็นคนที่เข้ามาเพื่อให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น เป็นเพียงแค่คนที่เดินผ่านมา ซึ่งเชนไม่สามารถกลมกลืนกับสถานที่แห่งนี้--แม้ว่าชาวไร่จะรักเขาเป็นนักหนา เมื่อถึงเวลา เขาก็จำเป็นต้องบอกลาและเดินทางต่อไป

สำหรับสังคมภายในบ้านของคุณนายรัญจวน นวลจันซึ่งแม้จะดูเหมือนว่าเป็นคนที่เข้ามาขอพักอาศัย แต่เธอเป็นเสมือนกุญแจ สำคัญ ให้ระบบการหลอกหลอนชั่วนิรันดรในบ้านหลังนี้ทำงาน ถ้าบ้านหลังนี้ขาดเธอสักคน ความสยองขวัญจนขนหัวลุก ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะจบลง ถ้ามองในแง่นี้เธอผู้รอนแรมมาจากแดนไกล ก็คือ คนใน( Insider)

และเมื่อคุณนายรัญจวนถามแม่บ้านว่า
"แกว่ามันจะกลับมาอีกมั้ย?"

และถ้าเชนตอบคำถามนี้แทนนวลจันได้
เขาก็อาจจะบอกว่า
"เบ้าหลอมของแต่ละคนเป็นยังไงก็จะเป็นอย่างนั้น
มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"

ในตอนท้ายเรื่อง
เชนกำลังเดินออกไป เดินออกไปจนลับสายตา
ในขณะที่นวลจันกำลังเดินเข้ามาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

และทุกอย่างกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แบบนี้หรือเปล่านะ?
ที่นิทเช่ เรียกมันว่า

"Eternal Reterns" :P

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+


Shane(1953)--George Steven
เปนชู้กับผี(2006)--วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-
Book read:
-ร่างกายใต้บงการ: ปฐมบทแห่งอำนาจในวิถีสมัยใหม่--มิแช็ล ฟูโกต์ แปลโดย ทองกร โภคธรรม

Sunday, November 19, 2006

2006-11-19



Looking for Mies
Ricardo Daza
ISBN : 84-95273-38-1

A short and compelling text, 'Looking for Mies' aims to reveal the man behind the architecture. The now famous photograph of Mies van der Rohe in a steel and glass building smoking a cigar has fascinated and intrigued the author to such an extent, that he has painstakingly researched the events surrounding its taking.

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-

Books read:
-20th Century Boys เล่ม 19-21--Naoki Urasawa
-Seattle Public Library--OMA/LMN
-Looking for Mies--Ricardo Daza

-ร่างกายใต้บงการ: ปฐมบทแห่งอำนาจในวิถีสมัยใหม่--มิแช็ล ฟูโกต์ แปลโดย ทองกร โภคธรรม

Saturday, November 18, 2006

2006-11-18

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-
Book read:
-20th Century Boys เล่ม 15-19--Naoki Urasawa

Friday, November 17, 2006

2006-11-17



Seattle Public Library
OMA/LMN
ISBN : 84-95951-63-0

The third Verb monograph examines the Seattle Public Library, one of OMA’s most heavily anticipated projects in the US. First, we look at the project in terms of the role of new media technologies that have changed the status of the library in the contemporary city. In Seattle, the city’s library begins with a radical rethinking of the very nature of the library, conceived as an “information store” rather than a traditional repository for books. Second, we explore the relation of the project to a well-known history of investigations by OMA into the library/mediatheque typology, which includes the TGB, Jussieu, and ZKM projects. As in previous Verb monographs, this third installment provides a comprehensive account of a project’s design process that tracks its development from the initial concept, through construction, ending with the building’s inauguration.

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-Seattle Public Library--OMA/LMN

Books read:
-20th Century Boys เล่ม 12-13--Naoki Urasawa
-The Metapolis Dictionary of Advanced Architecture--Manuel Gausa, Vicente Guallart, Willy Müller, Federico Soriano, José Morales, Fernando Porras

Thursday, November 16, 2006

2006-11-16



The Metapolis Dictionary of Advanced Architecture
Manuel Gausa, Vicente Guallart, Willy Müller, Federico Soriano,
José Morales, Fernando Porras
ISBN: 84-95951-22-3


This subsequent English edition of “Metapolis” is a extended version of the original Spanish edition, and continues to seek and identify a new architectural will within the contemporary social and cultural panorama. Metapolis aspires to contribute to the formation of a global, albeit non-absolute, vision of the emerging new architectural action, one that participates in “advanced culture” and is present in various art disciplines, thought and technology. The book speaks of an architecture inscribed in the information society and influenced by the new technologies, the new economy, environment concerns and individual interests. From the onset of the project, the diversity of the authors and works was considered invaluable for the generation of intersections discourse and theory among the many collaborators.

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-The Metapolis Dictionary of Advanced Architecture--Manuel Gausa, Vicente Guallart, Willy Müller, Federico Soriano, José Morales, Fernando Porras

Books read:
-20th Century Boys เล่ม 11--Naoki Urasawa
-The Metapolis Dictionary of Advanced Architecture--Manuel Gausa, Vicente Guallart, Willy Müller, Federico Soriano, José Morales, Fernando Porras

Wednesday, November 15, 2006

2006-11-15

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-คุโรมาตี้ โรงเรียนคนบวม เล่ม 14--โนนากะ เอย์จิ

Books read:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson
-20th Century Boys เล่ม 6-10--Naoki Urasawa

Tuesday, November 14, 2006

2006-11-14

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-
Book read:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson
-20th Century Boys เล่ม 1-5--Naoki Urasawa

Monday, November 13, 2006

Tatsuo Yasuda

2006-11-13


เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2549

เกริ่นนำ
ผมพบกับ ทัสซีโอะ ยาสึดะ ในวันที่สามที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในเกียวโต วันนี้ผมนัดกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า ฟูมิเอะ ซาไซ เธอเป็นศิลปิน เธอเป็นคนใจดี นิสัยดี เธอเป็นคนใจเย็น และปราณีต(อันนี้ผมสังเกตเอาเองจากงานศิลปะที่เธอทำ) เธอเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต วันนี้เป็นวันเสาร์ เธอว่างจากงานสอน และเสนอตัวเป็นไกด์พาผมเที่ยว(ซาไซบอกว่าผมมาในช่วงที่กำลังมีการสอบไล่เธอจึงยุ่งมากๆ) ผมนัดกับเธอตั้งแต่เช้าตรู่ที่ร้านสตาร์บัค ที่หน้าสถานนีรถไฟเกียวโต เพราะซาไซต้องนั่งรถไฟมาจากบ้านของเธอที่อยู่ที่โอซาก้า) เธอบอกว่าวันนี้จะพาผมตลุยดูงานศิลปะ(ผมบอกซาไซว่าไม่ต้องตะลุยหรอกผมไม่รีบ--เธอหัวเราะ) เริ่มจากแกลเลอรี่ของเพื่อนเธอที่กีออน(เป็นแกลเลอรี่ที่น่ารักเอามากๆ) ที่นั่นมีงานซาไซแสดงอยู่ จากนั้นเธอก็พาไปวัดเซนของท่านโดเก็น(ที่นี่ทำให้ผมขนลุกด้วยความตื่นเต้น--ก็ที่นี่ถือเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายสำคัญในการท่องเที่ยวทริปนั้น ^_^) จากนั้นเราก็เดินมาเรื่อยๆ แบบชิวๆ ข้ามแม่น้ำกาโม่มั้งถ้าจำไม่ผิด ผมชี้ตึกไทม์ (Time) ที่ออกแบบโดยทาดาโอะ อันโดะ (Tadao Ando)ให้ซาไซดู ซาไซรู้จักทาดาโอะ เพราะทุนที่เธอได้มาทำงานวิจัยที่เมืองไทย มีทาดาโอะ ดันโดะสถาปนิกชื่อดังคนนี้ เป็นคณะกรรมการร่วมอยู่ด้วย เดินผ่านตึกไทม์ไปเล็กน้อย ผมเห็นโปสเตอร์อันหนึ่งสะดุดตา จึงบอกซาไซว่าลงไปดูงานข้างล่างกันเถอะ (พอดีแกลเลอรี่นี้อยู่ชั้นใต้ดิน) และแล้วผมก็ได้พบกับ ทัสซึโอะ ยาสึดะ (Tatsuo Yasuda)



โปสเตอร์ทางด้านหน้าแกลเลอรี่ที่ผมบังเอิญเห็นเข้า--ก่อนที่จะชักชวนซาไซเข้าไปดูงาน




ที่ อิเตะซะ(Iteza) แกลเลอรี่






โลกของทัสซีโอะ--ในแกลเลอรี่ขนาดเล็กๆ

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+



สองนาทีกับ ทัสซึโอะ*

ซาไซ--เพื่อนฉันมาจากกรุงเทพฯ ชอบงานคุณมากค่ะ อยากให้ฉันช่วยเป็นล่าม
เขาอยากคุยกับคุณ
ทัสซึโอะ--ยินดีครับ ขอบคุณที่ชอบงานผม (ซาไซหันมาแปลให้ผมฟัง)
วิชิต--งานคุณน่ารักดี มีอารมณ์ขัน แล้วก็มีกลิ่นไอของธรรมชาติ
ทัสซึโอะ--ผมเป็นคนบ้านนอก ก็เลยได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติเยอะครับ
วิชิต--ไม่ทราบว่าคุณมีอีเมล์ไหมครับ เผื่อโอกาสหน้าเราจะได้ติดต่อกัน (ซาไซหันไปแปลให้ทัสซึโอะฟัง)
ทัสซึโอะ--เสียใจด้วยครับบ้านผมไม่มีคอมพิวเตอร์
ซาไซ--(หันมาคุยกับผม)จี้ ขอเบอร์โทรศัพท์ไม๊ เวลาถ้ามีธุระอยากคุยฉันจะติดต่อให้น่ะ (ซาไซหันไปคุยกับทัสซึโอะ)
ทัสซึโอะ--ต้องขอโทษด้วยจริงๆ โทรศัพท์ที่บ้านผมก็ไม่มีครับ ถ้าอยากจะติดต่อกันจริงๆ ไม่ต้องรีบร้อนครับเขียนจดหมายคุยกันก็ได้ ส่งมาตามที่อยู่นี้ หรือจะส่งมาที่หอศิลป์ที่นี่ก็ได้ ผมมีรถเก่าๆ คันนึงครับ ขับเขามาในเมืองเกียวโตบ่อย
วิชิต--(ผมกำลังอมยิ้มกับข้อความที่ซาไซแปล "ถ้าอยากจะติดต่อกันจริงๆ ไม่ต้องรีบร้อน") พร้อมกับรับโปสการ์ดแผ่นเล็กๆ ที่ทัสซีโอะยื่นให้ผม
วิชิต--ขอบคุณมากครับ หวังว่าโอกาสหน้าเราคงได้คุยกันอีก
ซาไซ--ขอบคุณมากค่ะ
ทัสซึโอะ--ไม่เป็นไรครับยินดีที่ได้รู้จัก

*บทสัมภาษณ์ ทัสซึโอะ ยาสึดะ วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2549 ที่ Gallery Iteza เกียวโต โดย วิชิต หอยิ่งสวัสดิ์ และ ฟูมิเอะ ซาไซ แกะจากร่องรอยความทรงจำ
+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Books bought:
-Dylan:Visions, Portraits, and Back Pages--Edited by Mark Blake(MOJO)
-National Geographic--ฉบับเดือน พฤศจิกายน 2549
Book read:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson




Sunday, November 12, 2006

ช่องว่างระหว่างรัก

Don't Think Twice, It's all right
2006-11-12



A: I like your apartment.
B: It's nice, but it's only big enough for one person--or two people who are very close.
A: You know two people who are very close?


The Philosophy of Andy Warhol--Andy Warhol




ภายถ่าย Bob Dylan เมื่อสี่สิบสามปีที่แล้ว--ในปีที่แต่งเพลง
Don't Think Twice, It's all right


ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาเพลง Don't Think Twice, It's all right ของ Bob Dylan คือเพลงที่เราเปิดฟังบ่อยที่สุด และมันกลายเป็นเพลงโปรดของเราต่อจากเพลงอื่นๆ ของบิ๊กบ๊อบ--The Man in me, Like a Rolling Stone, Subterranean Homesick Blues(เพลงนี้มีหนังประกอบเพลงที่เจ๋งและเท่มากๆ บ๊อบ ดีแลนเล่นมันด้วยตัวเอง เราชอบเนื้อร้องท่อนหนึ่งในเพลงนี้-- You don't need a weather man to know which way the wind blows เราว่าเท่ดีคิดได้ยังไงเนี่ย) ,และเพลงรัก(หวานๆ?) อย่าง Love Minus Zero/No Limit ไปโดยปริยาย

ช่วงนี้มีคนพูดถึงบ๊อบดีแลนเยอะ นิตยสาร Rolling Stones รวบรวมบทสัมภาษณ์ของบ๊อบ พิมพ์ออกมาเป็นหนังสือเล่มหนาเตอะ(สำหรับของสำนักพิมพ์อื่นหนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า Dylan on Dylan) นิตยสาร MOJO ฉบับเดือนสิงหาคมก็พิมพ์เป็นฉบับพิเศษว่าด้วยเรื่องบ๊อบ ดีแลน รวมถึงนิตยสารสีสันของไทย ก็เคยทำสกู๊ปพิเศษว่าด้วยเรื่องบ๊อบ ดีแลน(อาจจะเป็นได้ว่า เพราะ บิ๊กบ๊อบ กำลังจะออกอัลบั้มใหม่ Modern Times)

นิตยสารดนตรีอีกหลายเล่มต่างลงมติว่า บ๊อบ ดีแลน เป็นนักแต่งเพลงที่ทรงอิทธิพลและสำคัญที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20(แน่นอนว่าสำหรับเราต้องไม่ลืมบวก Tom Waits และ Jackson Browne ขวัญใจของเราไปด้วยแน่ๆ ^_^)--สำหรับเรา บ๊อบ ดีแลน คือ กวีในคราบนักร้องเพลงโฟล์ค(บ๊อบเองก็เคยพูดเอาไว้ว่า "I consider myself a poet first and a musician second. I live like a poet and I'll die like a poet.") คือนางฟ้าเทวดาที่มาจุติบนโลกเป็นชาย(ที่มีเสียงร้อง)อัปลักษณ์ เพื่อขับกล่อมเพลงให้มนุษย์โลกอย่างเราๆ ฟัง(ขนาดนั้นเลย) เพื่อนเราหลายคนเคยบอกว่าเพลงของบ๊อบ ดีแลน จะเพราะมากถ้าบ๊อบ ดีแลน ไม่ได้เป็นคนร้องเอง :P--แต่เราไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นะ เราชอบเสียงของเขา เพราะฟังดูบ้านๆ และก็จริงใจดี สำหรับเราอย่างน้อยบ๊อบก็ร้องเพลง Blue Moon ได้ไพเราะและน่ารัก น่าฟังกว่าเวอร์ชั่นของ เอลวิส เพลสลีย์ เป็นไหนๆ (ถ้าไม่เชื่อต้องลองหามาฟัง บ๊อบร้องเพลงนี้ไว้ในอัลบั้ม Self Portrait ที่ออกในปี 1970)

เราได้ยินเพลง Don't Think Twice, It's all right เป็นครั้งแรก จากการดูสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของบ๊อบ เรื่อง No Direction Home : ฺBob Dylan ของผู้กำกับ Martin Scorsese ซึ่งเขาทำมันออกมาได้ดี ในหนังมีบทสัมภาษณ์อยู่หลายๆ ช่วงที่น่าสนใจ ที่สะท้อนถึงทัศนะคติในการทำงานเพลงของบ๊อบ เช่น "I didn't really know if that song was good or bad or...it felt right. But I didn't really know...that it had any kind of anthemic quality or anything. I wrote song to perform the songs. And I needed to sing, like, in that language. Which is a language that I hadn't heard before.

และมีบางช่วงที่บ๊อบพูดถึงเรื่อง "ถ้อยคำ"--Word have their own meaning, or they have different meaning...and word change their meaning word that meant somthing 10 years ago don't mean that now. They mean somthing else.

กลับมาที่เพลง Don't Think Twice, It's all right อีกครั้ง(เข้าประเด็นซะที ^_^) เราว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเศร้าอย่างร้ายกาจ--แม้บ๊อบ จะร้องมันด้วยน้ำเสียงและท่วงทำนองเพลงที่ดูงุ่ยๆ กลางๆ และก็ดูไม่ฟูมฟายเลยก็ตาม(สิ่งนี้อาจจะเป็นสุนทรียศาสตร์แบบดีแลนๆ--เราเคยเปิดดูเอนไซโคบีเดียเกี่ยวกับเพลงของบ๊อบ ที่ร้านคิโนคุนิยะ เขานิยามเพลงนี้สั้นๆว่า เป็นเพลงที่ Anti-Love Song นิตยสาร MOJO เคยพูดถึงเพลงนี้เอาไว้ว่า Poignant song of leaving)

สำหรับเรานี่เป็นเพลงที่พาเราเข้าไปสำรวจ
"ช่องว่างระหว่างมนุษย์"และพยายามแสดงให้เห็นว่ามันมีอยู่จริง--ซึ่งเราเองก็มีความเชื่อเช่นนั้น
(เราว่าเพลงและภาพยนต์(โดยเฉพาะหนังของ Wim Wenders) ในยุคหกศูนย์เจ็ดศูนย์มักชอบพูดถึงเรื่องพวกนี้นะ)
ไม่เว้นแม้กระทั้ง--ช่องว่างระหว่างคนที่รักกัน(และคิดว่ารักกัน)


ที่รัก, เปล่าประโยชน์ที่จะนั่งประหลาดใจ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่รัก, เปล่าประโยชน์ที่จะนั่งประหลาดใจ
ตอนนี้คุณยังไม่รู้อะไร
เมื่อถึงยามรุ่งทิวาที่ไก่เริ่มขัน
ขอให้คุณมองออกมาที่นอกหน้าต่าง นั่นฉันเองกำลังลาจาก
คุณคือเหตุผลที่ฉันต้องออกเดินทาง
แต่ขอให้คุณเชื่อเถอะ ว่ามันควรเป็นเช่นนั้น
.....
ที่รัก, เปล่าประโยชน์ที่จะเปิดแสงสว่างของคุณ
แสงสว่างที่ฉันเองก็ไม่เคยรู้จักมันมาก่อน
ที่รัก, เปล่าประโยชน์ที่จะเปิดแสงสว่างของคุณ
เพราะฉันยืนอยู่บนอีกด้านที่แสนมืดมิดของถนน
แต่ฉันยังหวังว่าในบางสิ่งที่คุณเคยพูดหรือทำเอาไว้
พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงฉันและยังคงทำมันต่อไป
เพราะเราไม่เคยคิดเปลี่ยนไปพูดคุยกันในเรื่องอื่น
แต่ขอให้คุณเชื่อเถอะ ว่ามันควรเป็นเช่นนั้น


เพลงนี้เป็นเพลงที่แทนความรู้สึกคนที่เปราะบางอ่อนแอ ทั้งพยายามวิ่งหนี(ความรักเพราะกลัวมันทำร้าย) และในขณะเดียวกันก็พยายามทำความเข้าใจ และละเอียดอ่อนที่จะมองเห็นช่องว่างระหว่างกัน และพยายามที่จะเข้าใจในสภาวะที่มีช่องว่างแบบนั้นแบบที่มันเป็น--มันทั้งเศร้า(I give her my heart but she wanted my soul) ทั้งอ้างว้าง(I'm walkin' down that long, lonesome road, babe. Where I'm bound, I can't tell.) ทั้งเข้าใจ (ทั้งดูอบอุ่น--คำนี้ขอใส่วงเล๊บ :P) ทั้งประชดประชัน (You could have done better but I don't mind You just kind a wasted my precious time) และรักษาระยะห่างระหว่างกัน (I can't hear you any more I'm a-thinkin' and a-wond'rin' all the way down the road)


เนื่องด้วยความใกล้ชิดจนเกินไปอาจจะทำให้ชีวิตเจ็บปวด
แม้กระทั้งความรักเองก็ไม่อาจจะถมช่องว่างนั้นได้
เหมือนบ๊อบกำลังจะบอกกับเราว่า
บางทีเราจำเป็นที่จะต้องพยายามทำความเข้าใจ
และอยู่กับช่องว่างแบบนั้นในชีวิตให้ได้
เข้าใจในการมีช่องว่างแบบนั้น แทนที่จะพยายามถมมันให้เต็ม
และสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดที่สุดก็คือการถมช่องว่างนั้นด้วยความรัก
หรือ ความรู้สึกว่ารัก

บนหน้าปกของอัลบั้มนี้--The Freewheelin'(1963)
เป็นภาพของบ๊อบ เดินควงแขนไปกับซูซี่ โรโตโร (Suze Rotolo)
(เธอเป็นแรงบันดาลใจของบ๊อบในการแต่งเพลงนี้ และเพลงในยุคแรกๆ
ของบ๊อบอีกหลายเพลง)
เมื่อฟังเพลงนี้จบคุณอาจจะคิดว่าบ๊อบเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย
(ถ้าเทียบเพลงนี้กับเพลงป๊อบหวานๆ ประเภทเราจะรักกันชั่วฟ้าดินสลาย)
แต่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บบนถนนในมหานครนิวยอร์ค
บ๊อบยังมีโรโตโรอยู่เคียงข้าง
ท่ามกลางช่องว่างระหว่างมนุษย์ บางทีเราอาจจะต้องการมนุษย์ซักคนหนึ่ง
ยืนอยู่ที่ริมขอบของช่องว่างเหล่านั้น
ในระยะที่ใกล้ที่สุด
อยู่บนความใกล้ชิดที่บางครั้งก็ดูเหมือนแสนที่จะเหินห่าง
(On the edge of closeness and separation)
ยืนอย่างยอมรับว่ามีช่องว่างระหว่างมนุษย์อยู่จริง

เอาน่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไร เชื่อสิ
Don't Think Twice, It's all right





+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+


The Freewheelin’(1963)--Bob Dylan

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-
Book read:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson

Saturday, November 11, 2006

2006-11-11


Zen Mind, Beginner's Mind
Shunryu Suzuki
ISBN 0-8348-0079-9


Zen mind is one of those enigmatic phrases used by Zen teachers to throw you back upon yourself, to make you go behind the words themselves and begin wondering. "I know what my own mind is," you tell yourself, "but what is Zen mind?" And then: "But do I really know what my own mind is?" Is it what I am doing now? Is it what I am thinking now?" And if you should then try to sit physically still for a while to see if you can locate it—then you have begun the practice of Zen, then you have begun to realize the unrestricted mind.



The innocence of this first inquiry—just asking what you are—is beginner's mind. The mind of the beginner is needed throughout Zen practice. It is the open mind, the attitude that includes both doubt and possibility, the ability to see things always as fresh and new. It is needed in all aspects of life. Beginner's mind is the practice of Zen mind.

This book originated from a series of talks given by Zen Master Shunryu Suzuki to a small group is Los Altos, California. He joined their meditation periods once a week and afterwards answered their questions and tried to encourage them in their practice of Zen and help them solve the problems of life. His approach is informal, and he draws his examples from ordinary events and common sense. Zen is now and here, he is saying; it can be as meaningful for the West as for the East. But his fundamental teaching and practice and drawn from all the centuries of Zen Buddhism and especially from Dogen, one of the most important and creative of all Zen Masters.

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-Zen Mind, Beginner's Mind--Shunryu Suzuki

Book read:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson

Friday, November 10, 2006

2006-11-10

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-
Book read:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson

Thursday, November 09, 2006

2006-11-09

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-
Book read:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson

Wednesday, November 08, 2006

2006-11-08

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-
Book read:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson

Tuesday, November 07, 2006

Fractal trees

Initiators and Generators
2006-11-07


One way to guarantee self-similarity is to build a shape by applying the same process over smaller and smaller scales. This idea can be realized with a process called initiators and generators.

The initiator is the starting shape.
The generator is a collection of scaled copies of the initiator.
The rule is this: in the generator, replace each copy of the initiator with a scaled copy of the generator (specifying orientations where necessary).

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+



Here is the initiator of a binary fractal tree. The generator is a copy of the initiator with two smaller branches growing symmetrically from the top.



Changing the branching angle (and the branch scaling so the branches overlap only on their tips), gives a sequence of fractal trees, including a few familiar shapes.

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-ดลใจภุมริน--รงค์ วงษ์สวรรค์

Book read:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson

Monday, November 06, 2006

Mathematical Definition of Chaos

2006-11-06




Sensitivity to initial conditions: starting from x = 0.400 and y = 0.399, T10(x) and T10(y) are on opposite sides of the interval.

Put differently, even the tiniest change can alter the future in ways you can't imagine.


+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-
Book read:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson

Sunday, November 05, 2006

Blur/ ぼけ

2006-11-05




Blur คือ โบเกะ(ぼけ) ในภาษาญี่ปุ่น
Blur คือ เบลอ ในภาษาไทย
เบลอ คือ ความพร่าเลือน; คือ ความเบาหวิว
เบลอ คือ สภาวะที่มโนภาพ(Image) อยู่ในภาวะไร้น้ำหนัก
เบลอ คือ ก้อนเมฆที่ล่องลอยไร้จุดหมาย(Drifting) รอวันกลั่นตัวเองเป็นสายฝนแห่งมโนภาพ(Image)

ในโลกยุคใหม่ เบลอ กลายเป็นภาวะไร้ประสิทธิภาพ--เป็น error ของข้อมูลข่าวสาร
ในยุคสมัยที่ผู้คนส่วนใหญ่นั้นบูชาความชัดเจน--ทีวีโฆษณาว่าให้ภาพคมชัดสมจริง
กล้องถ่ายรูประบบดิจิตอลให้ภาพคมชัด 10 ล้านพิกเซล โฟกัสได้ พร้อมกัน 11 จุด
ถึงแม้จะมือสั่น/เคลื่อนไหว/กระทบกระเทือน ขนาดไหน
ขอรับรองว่า--ภาพที่ได้ไม่มีวัน เบลอ

ในโลกภาพยนต์ เบลอ ถูก coding ความหมายกับช่วงเวลาของความฝัน วันเวลาของวันวาน
อดีตที่ไม่มีวันหวนคืน และความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
เบลอ คือ Heterotopia คือที่ที่มีอยู่จริงและไม่มีอยู่จริงในเวลาเดียวกัน

เบลอ คือ สภาวะอนาธิปไตย (anarchy) ไม่ใช่ประชาธิปไตย (democracy)
เบลอ คือ สภาวะที่เสียงข้างมากไม่เป็นใหญ่ เพราะไม่มีการ domination
เหมือนรูปถ่ายด้านบน--ที่ปาก จมูก คิ้ว ตา และองค์ประกอบทั้งใบหน้านั้น
เลือนหายกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่สามารถมีอวัยวะไหนบนใบหน้าสามารถ dominate อวัยวะส่วนอื่นได้


ในจอโทรทัศน์ เบลอ คือ ตัวแทนอำนาจในการ censorship ของรัฐ
อำนาจที่จะให้เห็นหรือไม่เห็นอะไร
อำนาจที่พยายามคอยบอกว่าสิ่งใดควรรู้สิ่งใดไม่ควรรู้
(เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ--ที่บนโลกนี้ยังมีคนคิดอยากควบคุมความรู้ของคนอื่น
และโดยมากคนที่มีความคิดเช่นนี้ ก็มักจะไม่ค่อยรู้อะไรมาก)
เบลอคือ สิ่งที่ไม่สามารถพูด สิ่งที่ไม่สามารถเห็น

ในประเทศไทย
ถึงแม้ว่าทีวีที่ซื้อมานั้น ภาพจะคมชัดสมจริง--เหมือนที่ได้โฆษณาไว้ขนาดไหน
บางช่วง-บางเวลา-บางขณะ

มันก็ยังมีภาพอะไรบางอย่างในจอทีวีที่ดูแล้ว Blurๆ :P


+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-
Book read:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson

Saturday, November 04, 2006

2006-11-04


Anything
Edited by Cynthia C. Davidson
ISBN-10: 0-262-54130-0
ISBN-13: 978-0-262-54130-5


At a time when the fragmented ideas and styles in architecture make it seem as if "anything goes," Anything asks whether there are constraints to thought and action that change "anything" to "the thing." In thirty-two original essays, many of them illustrated, leading architects, theorists, historians and others discuss their works. The wide-ranging topics include a "refugee republic," "blur buildings," virtual environments, shopping, and stress. "Anything," it would seem, is many things, opening the way for architecture to embrace history, science, research, and technology.

The authors include, among others, Caroline Bos, Ignasi de Solà-Morales, Elizabeth Diller, Peter Eisenman, Zaha Hadid, Jacques Herzog, Steven Holl, Osamu Ishiyama, Arata Isozaki, Romi Khosla, Rem Koolhaas, Greg Lynn, Rafael Moneo, Jean Nouvel, Wolf Prix, Hani Rashid, Bernard Tschumi, and Ben van Berkel.

Anything is the tenth and final book in the ongoing series that began in 1991 with Anyone and was followed by Anywhere, Anyway, Anyplace, Anywise, Anybody, Anyhow, Anytime, and Anymore. Each volume is based on a conference at which architects and leaders in other fields came together to present papers and discuss a particular idea in architecture from a cross-cultural and multidisciplinary perspective. The conference upon which Anything is based took place in New York City in June 2000.

Cynthia Davidson is the editor of ANY Magazine, the director of Anyone Corporation, and a member of the editorial board of the Writing Architecture serie

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-Anything--Edited by Cynthia C. Davidson
Book read:
-Corporate Fields: Office Project by AA Design Research Lab--Edited by Brett Steele
-The Architectural Review Magazine--October 2006

Friday, November 03, 2006

2006-11-03

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-หูหาเรื่อง--เผ่าจ้าว กำลังใจดี
Book read:
-The Architectural Review Magazine--October 2006

Thursday, November 02, 2006

Football Club

2006-11-02


Design 103 International Football Club's Manifesto


ดีไซน์103 อินเตอร์เนชั่นแนล ฟุตบอลคลับ ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 เพื่อรวบรวมกลุ่มคนที่รักกีฬา ทั้งที่มีพรสวรรค์และไม่มีพรสวรค์(แต่ใจรัก)ในเชิงลูกหนัง(บางคนสังขารก็ไม่เอื้อ) เข้าไว้ด้วยกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อต่อลองผลประโยชน์กับกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มอื่นๆ(หรือทีมอื่นๆ)ในสนามหญ้าที่มีพื้นที่โล่งๆ แน่นอนว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องธุรกิจ(แต่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพและพลานามัย)วัตถุประสงค์ก็ เพื่อฝึกหัดให้เป็นมนุษย์ที่รู้จักคำว่าชนะอย่างถูกวิธี (โดยมากมักมีสีขาวและสะอาด) และแน่นอนที่สุด ต้องไม่ลืมสิ่งที่เป็นโยชน์มากที่สุดที่กีฬาชนิดหนึ่งจะให้กับมนุษย์ได้ ซึ่งก็คือคำว่า"แพ้"

เพราะคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็นมนุษย์ที่ดีนั้นก็คือการ "แพ้เป็น"


+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-
Book read:
-Corporate Fields: Office Project by AA Design Research Lab--Edited by Brett Steele
-The Architectural Review Magazine--October 2006

Wednesday, November 01, 2006

Greeting Card

2006-11-01




แบบส.ค.ส. ปีใหม่ของเรา
ที่ส่งร่วมประกวด ส.ค.ส. กันสนุกๆ
กับเพื่อนๆ ในออฟฟิศ ^_^

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+


*อันนี้เป็นของเมื่อปีที่แล้ว

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+
Book bought:
-
Book read:
-Corporate Fields: Office Project by AA Design Research Lab--Edited by Brett Steele